วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

สอนเด็ก ท.ด

วันนี้ครูจำเป็น1วัน เพราะว่าครูที่โรงเรียนเก่าเขาให้มาช่วยสอนเด็กเต็น ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องป่าว แต่จะสอนให้เต็มที เต็มความสามารถของเรา แต่บอกเลยว่าเด็กทีนี้น่ารักมากบอกอะไรฟัง ค่อยดูว่าวันที่29 จะเป็นอย่างไร💋💋💜💝💘👍👏👏👏👏👏👏👏👏👏👏👏👏👏👏👏

เพื่อน

ทุกคนจัดจะต้องมีเพื่อนกันอยู่ แต่มันขึ้นอยู่ว่าคนนั้นจะสนิทหรือป่าว บ้างครั้งจะทะเลาะกันป่าว แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนกันอยู่#คำว่าเพื่อนยังไงก็เป็นเพื่อนเรา#
.เพื่อนคือ
.คนที่ให้คำปรึกษา
.รับฟัง
.บอก
.ไม่ทิ้งกัน

ปั้น monsta x

ใครชอบmonsta x ช่วยกันหน่อยนะค่ะ
พึ้งรีวิวเมื่อว่า ใครชอบใครรักก็ช่วยกันหน่อยนะค่ะ  ถึงจะไม่ชอบก็เห้ย แต่อยากให้ช่วยกันหน่อยนะค่ะ 😀😁😂😃😄😍😘😙💕💜💓💞

เกรดเทอมนี้

เกรดเทอมนี้ ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก เกรด็เท่าเดิม แต่ว่าระดับจะตก แต่ฉันก็ทำเติมทีแล้ว
ไม่เป็นเทอมน่าเอาใหม่ ฉันจะทำให้ดีเลยค่ะ จะส่งงานให้ตรงเวลา หรือจะส่งก็เวลา
เทอมนี้แย่เทอมน่าจะเอาใหม่

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

ภูเก็ต

ภูเก็ต

ท็อป 10 สถานที่ท่องเที่ยว

วัดฉลองหรือวัดไชยธาราม

วัดฉลองหรือวัดไชยธาราม ภูเก็ต ภาคใต้ ไทย
เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองที่มีชื่อเสียงของภูเก็ต เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมี ที่ประดิษฐสถานของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่นำมาจากศรีลังกา นอกจากนี้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวยังนิยมมานมัสการและปิดทองรูปปั้นหลวงพ่อแช่ม ผู้ช่วยเหลือชาวภูเก็ตจาก "กบฎอั้งยี่" ในสมัยรัชกาลที่ 5 หลวงพ่อชื่นและหลวงพ่อเกลื้อม ซึ่งชาวภูเก็ตและผู้มีจิตศรัทธาเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บได้

ศาลเจ้าบางเหนียว

ศาลเจ้าบางเหนียว จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย
หรือมูลนิธิเทพราศี เป็นศาลเจ้าจีนเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ศาลเจ้าต่าวโบ้เก๊ง" หรือ "ฉ้ายตึ๋ง" ศาลเจ้าแห่งนี้จัดพิธีกินเจและขบวนแห่เจ้าอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งมักจะตรงกับช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นงานที่มีผู้มาร่วมเทศกาลงานบุญกันอย่างหนาแน่น รับรองว่าเป็นประสบการณ์พิเศษอย่างหนึ่งที่คุณควรไปดูสักครั้งในชีวิต

เมืองเก่าภูเก็ต ชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese)

เมืองเก่าภูเก็ต ชิโน-โปรตุกีส ภูเก็ต ภาคใต้ ไทย
เป็นกลุ่มตึกโบราณกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตบริเวณ ถนนพังงา ถนนถลาง ถนนเยาวราช ถนนดีบุก และถนนกระบี่ ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองภูเก็ต ตึกเหล่านี้เป็นอาคารโบราณรุ่นยุคอาณานิคมมีศิลปะผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออก มีอายุกว่าร้อยปีสร้างขึ้นจั้งแต่พ.ศ. 2446 ถือเป็นแถบการค้าเก่าแก่ของเมือง นอกจากนี้ยังเป็นย่านร้านอาหารยอดนิยม มีร้านอาหารดังๆ ประจำเมืองในเขตนี้อยู่หลายร้าน

วัดพระทอง (วัดพระผุด)

องค์พระผุด ณ วัดพระทอง (วัดพระผุด) ภูเก็ต ภาคใต้ ไทย
วัดคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอถลางมาช้านาน มีพระพุทธรูปที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินเพียงครึ่งองค์ มีเรื่องเล่ากันว่าพระผุดนี้ทหารพม่าพยายามจะขุดเอาไปเมื่อครั้งมาตีเมืองถลาง แต่ไม่สามารถทำได้ ชาวบ้านจึงนับทองมาปิดองค์พระผุดด้วยความเคารพบูชาจนองค์พระเป็นสีทองอร่ามและเป็นที่มาของชื่อวัดทั้งสองชื่อ นอกจากนี้ภายในวัดยังก็มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น “พิพิธภัณฑสถานวัดพระทอง” ที่จัดแสดงวัตถุและข้าวของเครื่องใช้ของชาวถลางในอดีตและชาวจีนที่อพยพมาในสมัยโบราณอีกด้วย

แหลมพรหมเทพ

แหลมพรมเทพ ภูเก็ต ภาคใต้ ไทย
เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของจังหวัดซึ่งห่างจากหาดราไวย์ไม่มาก เป็นหนึ่งในจุดชมอาทิตย์อัสดงที่สวยสุดในประเทศไทย และเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวรวมถึงชาวภูเก็ตเองก็นิยมมาเยือน แหลมพรหมเทพนี้เป็นแหลมที่อยู่ทางใต้สุดของภูเก็ต ลักษณะเป็นแหลมโค้งไต่ระดับลงสู่พื้นทะเล ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันก็ยังมีประภาคารกาญจนาภิเษก สร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ภายในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการสร้างประภาคาร การรักษาเวลามาตรฐาน การคำนวณ และแสดงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตก และบนยอดของประภาคารก็ยังเป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งด้วย

จุดชมวิวเขาขาด

จุดชมวิวเขาขาด จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย
ตั้งอยู่บริเวณอ่าวมะขาม แหลมพันวา มีหอชมวิวเขาขาดเป็นหอแปดเหลี่ยมสำหรับชมวิว 360 องศา เป็นจุดชมวิวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของภูเก็ต ซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวอ่าวมะขาม อ่าวภูเก็ต แหลมพันวา เกาะไม้ท่อน เกาะรายาน้อย แหลมกาน้อย อ่าวฉลอง จุดชมวิวแห่งนี้ให้บริการเข้าชมฟรีและที่จอดรถฟรีด้วย

พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยภูเก็ต

พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยภูเก็ต ภูเก็ต ภาคใต้ ไทย
ตั้งอยู่ใกล้หาดราไวย์ เป็นแหล่งรวบรวมเปลือกหอยหลายลวดลายหลากสีสันจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 2000 ชนิด มีฟอสซิลแอมโมไนต์ (Ammonite Fossil) หรือปลาหมึกโบราณอายุกว่า 350 ล้านปี เปลือกหอยอายุหลายร้อยล้านปี เปลือกหอยยักษ์น้ำหนักกว่า 250 กิโลกรัม และไข่มุกสีทองหนัก 140 กะรัต พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เกิดจากการศึกษาและตั้งใจจะเผยแพร่ความรู้ของคุณสมนึก ปัทมคันธิน เจ้าของพิพิธภัณฑ์ที่ศึกษา รวบรวม และสะสมเปลือกหอยมากว่า 40 ปี พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ให้ข้อมูลอธิบายถึงหอยชนิดต่างๆ ได้อย่างละเอียดและน่าสนใจ

ภูเก็ตแฟนตาซี (Phuket Fantasy)

ภูเก็ตแฟนตาซี (Phuket Fantasy) จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย
ตั้งอยู่บริเวณหาดกมลา เป็นแหล่งบันเทิงยามราตรีที่โชว์การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยผสมผสานเทคนิคพิเศษสไตล์ลาสเวกัส เวทีการแสดงสร้างอยู่ในโรงละครในร่มขนาดใหญ่ไม่ต้องกลัวฟ้าฝน นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารร้านขายของที่ระลึกและหัตถกรรมไทยต่างๆ ให้คุณเลือกช้อปกันอย่างสนุกสนาน

หาดป่าตอง

หาดป่าตอง ภูเก็ต ภาคใต้ ไทย
เป็นหาดทรายขาวยาวกว่า 9 ก.ม. เหมาะสำหรับการเล่นน้ำทะเล อาบแดด และกิจกรรมทางทะเล เช่น เจ็ตสกีหรือสปีดโบ้ท หาดแห่งนี้ถือเป็นย่านท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุดของภูเก็ต เพราะมีทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้า ตลาดนัดกลางคืน แหล่งท่องเที่ยวยามราตรี



เชียงใหม่


เชียงใหม่

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร (Wat Phra That Doi Suthep)

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
มาเชียงใหม่ทั้งทีถ้าไม่ขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพล่ะก็เขาถือกันว่ามาไม่ถึงเมืองเชียงใหม่ เพราะพระธาตุแห่งนี้คือวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองล้านนามาตั้งแต่โบราณ ตั้งอยู่บนภูเขาทางทิศตะวันตกของเมือง โดดเด่นด้วยพระธาตุสีทองอร่ามมองเห็นได้จากระยะไกล มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและสามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้ทั่ว สามารถขึ้นดอยเพื่อกราบไหว้พระธาตุได้ด้วยบันไดพญานาค 300 ขั้น หรือหากเดินไม่สะดวกก็สามารถนั่งกระเช้าขึ้นลงได้ และพระธาตุดอยสุเทพแห่งนี้ยังได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 4 ในด้านสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีเสน่ห์จากโครงการเสน่ห์เมืองยิ้มในปี 2557 อีกด้วย

วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร (Wat Phra Singh)

วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พ.ศ. 1888 มีอุโบสถเก่าแก่เป็นวัดทรงหลังคาหน้าจั่วตามศิลปะแบบล้านนาดูสวยงามแปลกตา โดยเป็นวัดที่ใช้บรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู เจ้าผู้ครองแคว้นล้านนาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของอาณาจักร แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องไม่พลาดที่จะมาสักการะสักครั้งนั่นก็คือพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปโบราณที่มีความสำคัญต่อชาวเชียงใหม่เป็นอย่างมาก และในช่วงสงกรานต์ของทุกๆ ปี ชาวเชียงใหม่จะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้แห่ไปตามถนนรอบเมืองเพื่อสรงน้ำรับปีใหม่ และนำความเป็นสิริมงคลให้แก่ชาวเมือง

วัดเชียงมั่น (Wat Chiang Man)

วัดเชียงมั่น
อีกหนึ่งวัดกลางเมืองเชียงใหม่อันเป็นที่เคารพสักการะมาอย่างช้านาน และยังเป็นวัดแห่งแรกและวัดที่เก่าแก่ที่สุดของเชียงใหม่ด้วยอายุที่มากกว่า 700 ปีอีกด้วย แต่เดิมวัดนี้เป็นพระตำหนักของพญามังรายผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ ก่อนจะถวายเป็นพระอารามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของพระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาว ซึ่งองค์พระทำมาจากแก้วใสบริสุทธิ์เหมือนแฝดของพระแก้วมรกต เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวเหนือจากเมืองลำพูนในอดีต และยังมีการสร้างฉัตรทองคำหนัก 123 บาทประดับเพชรถวายประดับเหนือพระเกศาของพระแก้วขาวอีกด้วย

พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ (Bhubing Ratchaniwet Palace)

พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
พระตำหนักประทับแปรพระราชฐานฤดูหนาวในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นพระตำหนักที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2505 ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ใกล้กับดอยสุเทพในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ภายในเขตพระราชฐานสวยงามด้วยอาคารทรงไทยแบบเรือนหมู่ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน โดยสามารถเดินชมสถานที่โดยรอบที่มีการประดับประดาด้วยสวนตกแต่งทั้งสวนกุหลาบ สวนเฟิร์น และไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ และยังมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง ซึ่งพระตำหนักนี้เคยเป็นสถานที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างแดนมาแล้วหลายครั้ง

ดอยอินทนนท์ (Doi Inthanon)

ดอยอินทนนท์
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสูง เมื่อไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วต้องไม่พลาดดอยอินทนนท์ เพราะยอดดอยแห่งนี้เองคือยอดเขาที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย โดยสูงมากกว่า 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอากาศหนาวเย็นทั้งปี ปกคลุมด้วยป่าที่มีความหลากหลายทั้งป่าสน ป่าดงดิบ และป่าผลัดใบ อุดมไปด้วยจุดท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั้งน้ำตก ผา ถ้ำ และพันธุ์สัตว์ป่าอย่างนกหายาก ไม่ใช่แค่นี้ ดอยนี้ยังมีจุดท่องเที่ยวเด่นทางวัฒนธรรมคือ พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและโอบล้อมด้วยสวนดอกไม้และพรรณไม้เมืองหนาว จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม โดยได้รับการโหวตเป็นอันดับ 4 ในด้านสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีเสน่ห์ที่สุดในโครงการเสน่ห์เมืองยิ้มประจำปี 2557 จากนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติอันสวยงาม โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่มีหมอกปลกคลุมดอยตลอดทั้งวันและยังมีน้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้งคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวในวันที่มีอากาศหนาวจัด ซึ่งดอยอินทนนท์เคยมีอากาศหนาวถึงอุณหภูมิติดลบมาแล้ว

ดอยอ่างขาง (Doi Ang Khang)

ดอยอ่างขาง
ยอดดอยชื่อดังที่ตั้งอยู่ในอำเภอฝาง มีระยะห่างจากชายแดนพม่าเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น บนดอยมีเป็นลักษณะพื้นที่แอ่งกระทะบนความสูง 1,400 เมตร เดินทางค่อนข้างยากจากเส้นทางที่คดเคี้ยวและต้องใช้รถมีแรงขับและผู้ชำนาญทางจึงสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจห้ามใครให้ไปสัมผัสอากาศอันหนาวของที่นี่ได้ ซึ่งจะหนาวจัดในช่วงเดือนธันวาคม – มกราคม ซึ่งในช่วงนี้ คุณจะได้ฟินกับสวนดอกไม้และพืชพรรณเมืองหนาว ที่รวมถึงสวนดอกบ๊วย สวนบอนไซ และซากุระเมืองไทยหรือดอกพญาเสือโคร่ง ที่ไม่ต้องบินไปดูถึงญี่ปุ่น และในช่วงหนาวจัดนี้ยังสามารถพักชมแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็งยามเช้าตรู่ได้อย่างงดงาม และดอยแห่งนี้ได้รับการโหวตให้อยู่ในอันดับ 5 ในด้านสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีเสน่ห์ที่สุดจากโครงการเสน่ห์เมืองยิ้มของปี 2557 จากความสวยงามที่ทำให้ลืมความเหนื่อยระหว่างการเดินทางไปเป็นปลิดทิ้ง

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย (Omkoi Wildlife Sanctuary)

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย
เขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติที่ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนล่างของเชียงใหม่ไปจนถึงจังหวัดตาก เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของเชียงใหม่ที่ผู้คนเรียกกันอย่างติดปากจากชื่อแปลกๆ ไม่ซ้ำใคร โดยอมก๋อยมีแนวป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก และมีไฮไลท์เด็ดในช่วงฤดูหนาวซึ่งจะมีต้นกุหลาบพันปีออกดอกเบ่งบาน และมีต้นกุกลาบพันปีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยงอกงามอยู่ที่นี่อีกด้วย นอกจากนี้ภายในเขตยังมีที่เที่ยวสวยๆ อย่างดอยม่อนจองซึ่งเป็นแหล่งรวมสัตว์นานาชนิดอย่างเช่นกวางผา นกอินทรีปีกดำ และเหยี่ยวนกเขาท้องเขา ซึ่งเป็นสัตว์หายากในประเทศไทย

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari)

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
หากเบื่อแล้วกับการชมสวนสัตว์ธรรมดาๆ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีก็อาจเป็นคำตอบใหม่สำหรับการรับชมสัตว์แบบใกล้ชิด โดยที่นี่เป็นสวนสัตว์ที่เปิดให้รับชมทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่คุณจะได้ตื่นเต้นไปกับการนั่งรถชมสัตว์ป่าแบบซาฟารีด้วยการใช้ไฟสปอร์ตไลท์ส่องดูสัตว์ ชมอิริยาบถต่างๆ ของสัตว์กินเนื้ออย่างเช่นสิงโต เสือ และหมาไฮยีน่าในยามค่ำคืน แล้วผ่อนคลายไปกับการชมสัตว์กินพืชอย่างยีราฟ ม้าลาย ฮิปโปโปเตมัส และลามะ รวมทั้งสัตว์พันธุ์หายากอย่างเสือขาวและสิงโตขาว ซึ่งสวนสัตว์แห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับ 10 ด้านสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ที่มีเสน่ห์มากที่สุดในโครงการเสน่ห์เมืองยิ้มประจำปี 2557 จนต้องลองไปสัมผัสความแปลกใหม่ของสวนสัตว์ในยามค่ำคืนให้ได้สักครั้ง

อุทยานหลวงราชพฤกษ์ (Luang Ratchapruek Garden)

อุทยานหลวงราชพฤกษ์
อุทยานหลวงราชพฤกษ์เป็นสถานที่ที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อ “งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ราชพฤกษ์ 2554” ซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่เป็นแห่งแรกของโลก ภายในมีพื้นที่กว้างขวางซึ่งจัดแสดงสวนกลางแจ้งและสวนในร่มแบบต่างๆ มากมาย สามารถเพลิดเพลินไปกับพรรณไม้เมืองหนาว พรรณไม้จากต่างประเทศ และชมจุดที่สวยที่สุดของอุทยานซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของงานคือหอคำหลวง อาคารทรงไทยแบบศิลปะล้านนาที่หน้าอาคารอร่ามตาไปด้วยสีทอง แม้ว่าจะจบงานมหกรรมไปหลายปีแล้ว แต่สวนก็ยังคงสวยงามและเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน

ถนนคนเดินเชียงใหม่ (Chiang Mai Walking Street)

ถนนคนเดินเชียงใหม่
แหล่งท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ที่เหล่าขาช็อปและนักชิมต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง กับถนน 2 สายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถนนคนเดินเชียงใหม่ ได้แก่ถนนวัวลายที่ปิดถนนเป็นตลาดนัดให้คนเดินในวันเสาร์ และถนนท่าแพที่ปิดถนนให้คนเดินเที่ยวในวันอาทิตย์ ชมสินค้าและของที่ระลึกพื้นเมืองอันหลากหลายของชาวเหนือในราคาถูก และที่สำคัญที่สุดคือของกิน! ถนนคนเดินเชียงใหม่ขึ้นชื่อเป็นอย่างยิ่งเรื่องของกินเล่นแสนอร่อยจากหลากหลายร้านค้าตลอดทางจนได้รับการโหวตจากเหล่านักท่องเที่ยวให้เป็นสุดยอดอันดับ 1 ของสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ที่มีเสน่ห์มากที่สุดจากโครงการเสน่ห์เมืองยิ้มในปี 2557 ที่ไม่ควรพลาดทุกครั้งเมื่อเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่


วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

การเจริญเติบโตของกบ

การเจริญเติบโตของกบ
           ไซโกตที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของเซลล์สืบพันธุ์จะต้องมีกระบวนการเจริญเติบโต เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเต็มวัยที่สมบูรณ์ กระบวนการดังกล่าวต้องถูกต้องแม่นยำ มิฉะนั้นจะทำให้ร่างกายผิดปกติได้ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ เป็นต้น
            คำถามนำ
ไซโกตมีการเปลี่ยนแปลงจนเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเต็มวัยได้อย่างไร และสัตว์แต่ละชนิดมีการเจริญเติบโตเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร

          กระบวนการที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตมี 4 กระบวนการ คือ การแบ่ง เซลล์ ของไซโกตเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ที่ให้เอ็มบริโอประกอบด้วยเซลล์ที่คล้ายเซลล์เดียวกันจำนวนมากแต่ยังไม่มีการพัฒนาไปทำหน้าที่จำเพาะ เมื่อเซลล์ได้รับสารอาหารเพียงพอก็จะ มีการเพิ่มขนาดของเซลล์หรือการ  เติบโต (growth) ต่อจากนั้นเซลล์แต่ละกลุ่มจะมีการเปลี่ยนแปลง เป็นเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะเพื่อทำหน้าที่เฉพาะ อย่าง (celldifferentaition) เช่น เป็นเซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด เซลล์ประสาท เป็นต้น เซลล์ที่เหมือนกันจะรวมตัวเป็นเนื้อเยื่อและพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่างๆ กระบวนการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นอวัยวะและเกิดเป็นรูปร่าง เรียกว่า  มอร์โฟเจเนซิส  (morphogenesis)



 ภาพที่ 11-13 การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไปเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะ
          นักเรียนทราบได้อย่างไรว่าสัตว์มีการเจริญเติบโต และจะวักการเจริญเติบโตได้อย่างไร
          เมื่อพิจารณาจากกราฟแสดงการเจริญเติบโตของสัตว์ชนิดหนึ่งโดยการวัดความยาว


 
ภาพที่ 11-14 กราฟแสดงความยาวของสัตว์ชนิดหนึ่ง
               -สัตว์ชนิดนี้มีลำตัวยาวเต็มที่เมื่ออายุเท่าไร
              -ช่วงอายุเท่าไรที่กราฟมีความชันมากที่สุด นักเรียนคิดว่าอัตราการเจริญเติบโตในช่วงนี้เป็นอย่างไร
              -นักเรียนคิดว่าเส้นกราฟในระยะหลังจากสัตว์มีอายุ25วันไปแล้วมีแนวโน้มเป็นอย่างไร และสัตว์ชนิดนี้ยังมีการเจริญเติบโตอยู่หรือไม่ เพราะเหตุใด
          จากกราฟจะเห็นได้ว่าเมื่อสัตว์มีอายุมากขึ้นจะมีการเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระยะหนึ่งก็จะหยุด หลังจากระยะนั้นผ่านไปแล้วเส้นกราฟก็จะไม่สูงขึ้นอีก การเจริญเติบโตในลักษณะเช่นนี้เป็นแบบแผนของการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป
              -นักเรียนคิดว่ามีวิธีใดอีกบ้างที่จะใช้วัดการเจริญเติบโตของสัตว์ แต่ละวิธีมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
               -นักเรียนคิดว่าสัตว์แต่ละชนิด มีการเจริญเติบโตตลอดชั่วอายุของสัตว์หรือไม่
        โดยทั่วไปการวัดการเจริญเติบโตของสัตว์มีหลายวิธี วิธีที่นิยมมากก็คือ การหามวลของสัตว์ที่เปลี่ยนไป หรือการวัดความสูงแต่บางกรณีความสูงอาจไม่เพิ่มในอัตราส่วนเช่นเดียวกับมวลดังนั้นการวัดความสูงจึงเป็นการคาดคะเนการเจริญเติบโต
                 สิ่งที่น่าศึกษาคือการเจริญเติบโตของสัตว์แต่ละชนิดเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร  การศึกษาการเจริญเติบโตของสัตว์ในระดับนี้จะกล่าวถึงการเจริญเติบโตของสัตว์บางชนิด เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงแบบแผนของการเจริญเติบโต
การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์บางชนิด
           สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น อะมีบา พารามีเซียม หลังจากการแบ่งเซลล์จะมีการเพิ่มขนาดของเซลล์จนมีขนาดเท่ากับเซลล์ทั่วไป
           สัตว์หลายเซลล์โดยทั่วไปที่มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศการเจริญเติบโตจะเริ่มจากไซโกตมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเอ็มบริโอซึ่งรายละเอียดของการเจริญเติบโตในสัตว์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่พอจะนับได้ว่ามีขั้นตอนและแบบแผนการเจริญเติบโตคล้ายคลึงกัน ในที่นี้จะกล่าวถึงการเจริญเติบโตของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิดได้แก่ กบ และไก่ ซึ่งใช้เป็นตัวแทนในการศึกษากระบวนการเจริญเติบโตของสัตว์ทั่วไป

          การเจริญเติบโตของกบ
          เซลล์ไข่ของกบไม่มีเปลือกแข็งหุ้มแต่มีวุ้นห่อหุ้มอยู่โดยรอบเมื่อลอยน้ำจะเห็นด้านที่มีสีเหลืองอยู่ด้านล่าง เนื่องจากมี ไข่แดง (yolk) ซึ่งเป็นอาหารสะสมอยู่มาก ส่วนด้านบนสีเทาเข้มจนเกือบเป็นสีดำ เนื่องจากมีสารสีอยู่หนาแน่นที่บริเวณใกล้ผิวของเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ ดังภาพที่ 11-15


 
ภาพที่ 11-15 การเจริญเติบโตของกบ

               รู้หรือเปล่า
               การแบ่งเซลล์ของไซโกตจะมีแบบแผนแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปริมาณและการกระจายตัวของไข่แดงภายในเซลล์ไข่ เช่น พวกที่มีไข่แดงน้อย ได้แก่ เม่นทะเลสัตว์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีรกจะมีแบบแผนในการแบ่งเซลล์ไซโกตต่างจากพวกที่มีไข่แดงมาก เช่น นก และ สัตว์เลื้อยคลาน

            จากการศึกษาการเจริญเติบโตของกบ ดังภาพที่ 11-15สามารถสรุปการเปลี่ยนแปลงในระยะเอ็มบริโอของกบ ได้ 4 ขั้นตอนคือ  คลีเวจ (cleavage)  บลาสทูเลชัน  (blastulation) แกสทรูเลชัน  (gastrulation) และ ออร์แกโนเจเนซิส  (organogenesis)

            คลีเวจ
          เป็นกระบวนการที่ไซโกตมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสอย่างรวดเร็วทำให้ได้เอ็มบริโอที่มีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้น แต่ขนาดของแต่ละเซลล์ของเอ็มบริโอเล็กลงตามลำดับ เมื่อสิ้นสุดระยะคลีเวจจะได้เอ็มบริโอที่ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมาก
     
            บลาสทูเลชัน
         เป็นกระบวนการที่เซลล์ของอ็มบริโอมีการจัดเรียงตัวเป็นชั้นอยู่รอบนอก ตรงกลางเป็นช่องว่างที่มีของเหลวบรรจุอยู่เต็มเรียกว่า  บลาสโทซีล (blastocoel) เรียกเอ็มบริโอระยะนี้ว่า  บลาสทูลา  (blastula)

          แกสทรูเลชัน
         เป็นกระบวนการที่เซลล์มีการเคลื่อนที่และจัดเรียงเป็นตัวเป็นเนื้อเยื่อชั้นต่างๆ โดยมีการเคลื่อนที่ของเซลล์ในลักษณะต่างๆ กันเช่น กลุ่มเซลล์ชั้นนอกบุ๋มตัวเข้าไปข้างใน หรือมีการม้วนตัวเข้าไปในช่องว่างภายในเอ็มบริโอ เป็นต้น เอ็มบริโอที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีรูปร่างต่างไปจากเดิม ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ เอกโทเดิร์ม (ectoderm)  เมโซเดิร์ม  (mesoderm) และ  เอนฌดเดิร์ม  (endoderm) เรียกเอ็มบริโอระยะนี้ว่า  แกสทูลา (gastrula)

          ออร์แกโนเจเนซิส
          เป็นกระบวนการที่เนื้อเยื่อทั้ง 3 ชั้นของเอ็มบริโอมีพัฒนาการไปเป็นอวัยวะต่างๆ

         ตัวอ่อน  (larva) ของกบที่ฟักออกจากไข่ เรียกว่า ลูกอ๊อดจะมีลักษณะแตกต่างไปจากพ่อแม่ ซึ่งจะต้องมีการเลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะการดำรงชีวิตหลายครั้ง เรียกกระบวนการนี้ว่าเมทามอร์โฟซิส(metamorphosis) จนกระทั่งได้สัตว์ที่มีลักษณะเหมือนกับพ่อแม่
          -การเจริญของสัตว์ที่มีเมทามอร์โฟซิสแตกต่างจากสัตว์ที่ไม่มีเมทามอร์โฟซิสอย่างไร พร้อมทั้งยกตัวอย่างสัตว์ที่มีเมทามอร์โฟซิสแบบต่างๆ

 กิจกรรมเสนอแนะ
             ให้นักเรียนนำไข่ของสัตว์สะเทินบก เช่น ไข่กบ เขียด คางคก ที่วางไข่ตามแหล่งน้ำต่างๆ มาศึกษาการเปลี่ยนแปลงของเอ็มบริโอ และวาดภาพลักษณะของเอ็มบริโอหลังจากศึกษาเสร็จแล้วควรนำสัตว์ไปปล่องยังแหล่งน้ำ

ประเภทเพลงไทย

ประเภทเพลงไทย


                เพลงไทย หมายถึง เพลงที่แต่งขึ้นตามหลักของดนตรีไทย มีลีลาในการขับร้องและบรรเลงแบบไทย โดยเฉพาะและแตกต่างจากเพลงของชาติอื่นๆ เพลงไทยแต่เดิมมักจะมีประโยคสั้นๆและมีจังหวะค่อนข้างเร็ว  ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากเพลงพื้นบ้าน หรือเพลงสำหรับประกอบการรำเต้นเพื่อความสนุกสนาน รื่นเริง ต่อมาเมื่อต้องการจะใช้ เป็นเพลงสำหรับร้องขับกล่อม และ ประกอบการแสดงละครก็จำเป็นต้องประดิษฐ์ทำนองให้มีจังหวะช้ากว่าเดิม และมีประโยคยาวกว่าเดิม ให้เหมาะสมที่จะร้อง


ประเภทของเพลงไทย  อาจแบ่งออกได้เป็นพวกๆ คือ
๑. เพลงสำหรับบรรเลงดนตรีล้วนๆ ไม่มีการขับร้อง  เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประโคมพิธีต่างๆ เพลงโหมโรง และเพลงหน้าพาทย์ จะเป็นเพลงสำหรับใช้ประกอบกิริยาอาการและแสดง
อารมณ์ต่างๆ ของการรำ
๒. เพลงสำหรับขับร้อง  คือ เพลงซึ่งร้องแล้วรับด้วยการบรรเลง เรียกว่า ร้องส่งดนตรี
เช่น เพลงประกอบ การขับเสภา(ร้องส่งเสภา) เพลงที่ร้องส่งเพื่อฟังไพเราะทั่วไปส่วนมาก
จะเป็นเพลงเถาและเพลงตับ
๓. เพลงประกอบการรำ  คือ เพลงร้องตามบทร้อง ให้ผู้รำได้รำตามบทหรือเนื้อร้อง
ส่วนมากจะเป็นเพลง สองชั้นเพื่อให้เหมาะกับการรำไม่ช้าไปไม่เร็วไป นอกจากนั้น
ก็ยังใช้เพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดง กิริยาอาการ ของผู้แสดงอีกด้วย


ลักษณะเพลงไทยประเภทต่างๆ

๑.เพลงชั้นเดียว
       เพลงชั้นเดียว หมายถึง เพลงที่มีจังหวะเร็ว หรือเรียกว่าเพลงเร็ว จะสังเกตได้จากเสียงฉิ่ง  ปกติแล้วการตีฉิ่งจะเริ่มด้วยเสียง ฉิ่ง และจบด้วยเสียง ฉับ ตีสลับกันไปจนกว่าจะจบการบรรเลง ถ้าช่วงระหว่างเสียงฉิ่ง และฉับเร็วกระชับติดกัน ก็แสดงว่าเป็นเพลงชั้นเดียว หรือสังเกตได้จากทำนองร้อง เพลงชั้นเดียวจะร้องเอื้อนน้อย หรือไม่มีการร้องเอื้อนเลยก็ได้







๒.เพลงสองชั้น
         เพลงสองชั้น หมายถึง เพลงที่มีจังหวะปานกลาง ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นเพลงสั้นๆ ที่ร้องและจำทำนองง่าย มีความยาวกว่าเพลงชั้นเดียวหนึ่งเท่าตัว หรือสังเกตจากเสียงฉิ่ง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉับห่างกันปานกลาง มีทำนองร้อง การร้องเอื้อนไม่มากไม่น้อย ขึ้นอยู่กับลักษณะของเพลง
        เพลงสองชั้น ใช้ขับร้องและบรรเลงเพื่อเป็นการขับกล่อม และประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ


๔.เพลงสามชั้น
         เพลงสามชั้น หมายถึง เพลงที่มีจังหวะช้า ต้องใช้เวลาบรรเลงและขับร้องนานกว่าเพลงในอัตราอื่นๆ  ถ้าจะสังเกตเสียงฉิ่ง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉาบห่างกันมาก ทำนองร้องจะมีการร้องเอื้อนยาวๆ เพลงสามชั้นใช้ขับร้องและบรรเลงในโอกาสทั่วไป
๕.เพลงเถา
         เพลงเถา หมายถึง เพลงขนาดยาวที่มีเพลง ๓ ชนิดติดต่ออยู่ในเพลงเดียวกันโดยการบรรเลงเพลงสามชั้นก่อน แล้วเป็นเพลงสองชั้น ลงมาจนถึงเพลงชั้นเดียว เรียกว่า เพลงเถา  ตัวอย่าง เพลงเขมรพวงเถา เดิมเป็นเพลงสองชั้น ต่อมา หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้คิดแต่งขึ้นเป็นสามชั้นดำเนินทำนองเป็นคู่กัน กับเพลงเขมรเลียบพระนคร เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๖๐ แล้วหมื่นประคมเพลงประสาน (ใจ นิตยผลิน) ได้ตัดลงเป็นชั้นเดียว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ และมีทำนองชั้นเดียวโดย นายเหมือน ดุริยะประกิต เป็นผู้แต่งเพลงเถา นิยมใช้บรรเลงและขับร้องในรูปของเพลงรับร้อง คือเมื่อร้องจบท่อน ดนตรีก็บรรเลงรับ  ไม่นิยมนำเพลงเถามาร้องให้ดนตรีบรรเลงคลอ หรือบรรเลงลำลองแต่อย่างใด
๖.เพลงเกร็ด
         เพลงเกร็ด เป็นเพลงขนาดย่อม นำมาขับร้องและบรรเลงเป็นเพลงๆไปอาจเป็นอัตราจังหวะใด จังหวะหนึ่งในชุดของเพลงเถา หรือเป็นเพลงใดเพลงหนึ่ง จากชุดเพลงตับหรือเพลงเรื่องก็ได้   เพลงเกร็ด ที่ขับร้องและบรรเลงกันอยู่โดยทั่วๆ ไป มักจะมีบทร้องที่มีความหมาย มีคติมีความซาบซึ้ง ประทับใจและมีช่วงทำนองที่มีความ ไพเราะเป็นพิเศษ  ตัวอย่างเพลงเกร็ด เช่น เพลงแป๊ะ (สามชั้น) เพลงแขกสาหร่าย (สองชั้น)และเพลงเต่าเห่ (สองชั้น)
๗.เพลงละคร
         เพลงละคร หมายถึง เพลงที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่างๆ มีทั้งร้องแล้วดนตรีรับ ทั้งร้องคลอดนตรี เคล้า และลำลอง ขึ้นอยู่กับลักษณะ
๘.การแสดงนั้นๆ
         ตัวอย่างเพลงละคร ได้แก่ เพลงอัตราสองชั้น เช่น เพลงสร้อยเพลง เพลงเวสสุกรรม เพลงพญาโศก หรือเพลงในอัตราเดียว เช่น เพลงนาคราช เพลงหนีเสือ เพลงลิงโลด  และเพลงพิเศษที่ใช้เฉพาะละครแท้ๆ เช่น เพลงช้าปี่ เพลงโอ้ชาตรี เพลงโอ้โลม เพลงโอ้ร่าย เพลงยานี เพลงชมตลาด เป็นต้น
       เพลงที่ใช้ร้องประกอบละครหรือมหรสพอื่นๆ จะต้องใช้ให้ถูกต้องตามอารมณ์ของตัวละคร เช่น เพลงพญาโศก เพลงสร้อยเพลง ใช้สำหรับอารมณ์โศก  เพลงนาคราช เพลงลิงโลด ใช้สำหรับอารมณ์โกรธ เพลงโอ้โลม เพลงโอ้ชาตรี ใช้สำหรับอารมณ์รักหรือเวลาเกี้ยวพาราสี เป็นต้น
๙.เพลงลา
         เพลงลา หมายถึง เพลงที่ผู้ขับร้องและบรรเลงแสดงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนที่การแสดงจะจบลง ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนของการแสดงกิจกรรมการบรรเลงดนตรีไทย ที่โบราณจารย์ได้กำหนดไว้ กล่าวคือ เพลงแรกที่บรรเลงคือเพลงโหมโรง และเพลงสุดท้ายต้องบรรเลงเพลงลา เพื่อเป็นการร่ำลาให้ศีลให้พรแก่เจ้าของงานหรือผู้ชมผู้ฟัง เนื้อร้องมีความหมายในทางร่ำลา อาลัย อาวรณ์ และให้ศีลให้พรแล้ว มักจะมีสร้อย คือ มีการร้องว่า "ดอกเอ๋ย เจ้าดอก..." และจะมีเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่งบรรเลงเลียนเสียงร้องให้คล้ายคลึงกันมากที่สุด ซึ่งเรียกกันเป็นทางภาษาสามัญว่า "ว่าดอก" เครื่องดนตรีที่ใช้
ก็อาจใช้ ซออู้
         เพลงลาที่นิยมใช้บรรเลงกัน เช่น เพลงเต่ากินผักบุ้ง เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง เพลงอกทะเลเป็นต้น
๑๐.เพลงเรื่อง
         เพลงเรื่อง คือ เพลงที่โบราณาจารย์ประดิษฐ์ขึ้น โดยนำเอาเพลงที่มีลักษณะใกล้เคียงกันหลายๆ เพลงมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุด เป็นเรื่อง เพื่อความสะดวกในการใช้บรรเลงในโอกาสต่างๆ กัน เช่น เพลงเรื่อง นางหงส์ สำหรับใช้บรรเลงประกอบพิธีศพ เพลงเรื่องฉิ่งพระฉันสำหรับใช้บรรเลงประกอบพระฉัน ภัตตาหาร และเพลงเรื่องสร้อยสน สำหรับใช้บรรเลงในโอกาสทั่วๆ ไป  นอกจากนั้น ยังเป็นการรวบรวมเพลงที่มีลักษณะคล้ายๆ กันมาไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการจดจำ ที่น่าสังเกตคือ มักจะนิยมบรรเลง เพลงเรื่อง โดยการบรรเลงเฉพาะดนตรี ไม่มีร้อง
             การบรรเลงเพลงเรื่อง โดยทั่วไปประกอบด้วยเพลงช้า เพลงสองไม้ เพลงเร็ว และจบลงด้วยเพลงลา เช่น เพลงเรื่องสร้อยสน ประกอบด้วยเพลงสร้อยสน เพลงพวงร้อย แล้วออกท้ายด้วยเพลงสองไม้ และเพลงเร็ว จบด้วยเพลงลา





๑๑.เพลงโหมโรง
         เพลงโหมโรง หมายถึง เพลงที่บรรเลงในอันดับแรกสำหรับงานต่างๆ เพื่อเป็นการประกาศให้รู้ว่า ขณะนี้งานดังกล่าวกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และเป็นการบรรเลงเพื่อเคารพสักการะครูอาจารย์ และอัญเชิญเทพยดามายังสถานมงคลพิธีนั้นด้วย
เพลงโหมโรงแบ่งออกได้หลายลักษณะ ดังนี้
        ๑.  โหมโรงเช้า  ใช้บรรเลงในงานมงคลพิธีต่างๆ ซึ่งจะมีขึ้นในตอนเช้า เช่น งานที่รู้จักกันเป็นสามัญว่า งานสวดมนต์เย็นฉันเช้า  เพลงที่บรรเลง ได้แก่ สาธุการ  เหาะ  รัว  กลม ชำนาญ
       ๒.  โหมโรงกลางวัน  เป็นโหมโรงที่เกิดขึ้นจากประเพณีการแสดงมหรสพในสมัยโบราณ ถ้าเป็นการแสดงกลางวัน ซึ่งได้เริ่มแสดงตั้งแต่เช้ามาแล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงจะต้องหยุดพักกลางวัน เพื่อให้ตัวละครและผู้บรรเลงดนตรี ตลอดจนผู้ร่วมงานการแสดงนั้น ได้หยุดพักและรับประทานอาหารกลางวัน  โหมโรงกลางวัน ประกอบด้วยเพลงกราวใน เชิด  ชุบ  ลา  กระบองตัน  เสมอข้ามสมุทร  เชิดฉาน  ปลูกต้นไม้  ชายเรือ  รุกรัน  แผละเหาะ  โล้  วา
       ๓.  โหมโรงเย็น  เป็นเพลงชุดที่ใช้บรรเลงในตอนเย็นของงาน ในการเริ่มงานมงคลต่างๆประกอบด้วยเพลง สาธุการ  ตระโหมโรง  รัวสามลา  ต้นชุบ  เข้าม่าน  ปฐม  ลา  เสมอ  รัว  เชิด  กลม  ชำนาญ  กราวใน  ต้นชุบ
       ๔.  โหมโรงเสภา  เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการนำเอาปี่พาทย์มาบรรเลงประกอบการขับเสภา  การโหมโรงเสภาใช้ลักษณะเดียวกันกับโหมโรงก่อนการแสดงละคร คือ ปี่พาทย์จะบรรเลงหน้าพาทย์ชุดต่างๆ จนกระทั่งถึงเพลงวาแล้วจึงเริ่มการแสดง  ต่อมาเพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ใช้บรรเลง เพลงวาเพลงเดียว จากนั้น
ก็เปลี่ยนมาใช้เพลงในอัตราสองชั้นและสามชั้นตามความนิยม แต่ก็ยังยึดถือกันว่า ต้องจบด้วยทำนองตอนท้ายของเพลงวา  นอกจากนั้น ยังกำหนดให้บรรเลง เพลงรัว ซึ่งเรียกกันเป็นสามัญว่า รัวประลองเสภา แล้วจึงบรรเลงเพลงโหมโรง
         ในปัจจุบัน การบรรเลงของวงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี ก็ได้นำเอาวิธีการโหมโรงเสภานี้มาใช้ แต่ได้ตัดเพลงรัวประลองเสภาออกเสีย เริ่มต้นด้วยเพลงโหมโรง และจบด้วยทำนองท้ายของเพลงวาเหมือนกัน และนิยมใช้บรรเลงกันอย่างแพร่หลายจนทุกวันนี้




๑๒.เพลงหน้าพาทย์
          เพลงหน้าพาทย์ คือ เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบกิริยา พฤติกรรมต่างๆ และอารมณ์ของตัวละคร เช่น เพลงโอดสำหรับร้องไห้ เสียใจ เพลงกราวรำสำหรับเยาะเย้ยสนุกสนาน เพลงเชิดฉานสำหรับพระรามตามกวาง เพลงแผละสำหรับครุฑบิน เพลงคุกพาทย์สำหรับทศกัณฐ์แสดงอิทธิฤทธิ์ความโหดร้าย หรือสำหรับหนุมานแผลงอิทธิฤทธิ์ หาวเป็นดาว
เป็นเดือน เป็นต้น  นอกจากนั้นยังหมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาสมมุติที่แลไม่เห็นตัวตน
 เช่น เพลงสาธุการ เพลงตระเชิญ เพลงตระนิมิต เพลงกระบองกัน สำหรับเชิญเทพยดาให้เสด็จมา แต่ไม่มีใครมองเห็นการเสด็จมาของเทพยดาในเวลานั้น เช่น บรรเลงประกอบพิธีไหว้ครู ครอบครูดนตรีและนาฎศิลป์ และยังเป็นเพลงที่บรรเลง
ประกอบกิริยาที่เป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน เช่น เมื่อพระเทศน์มหาชาติกัณฑ์มัทรีจบลง ปี่พาทย์บรรเลงเพลงทยอยโอด คือ บรรเลงเพลงโอดกับเพลงทยอยสลับกัน เพื่อประกอบกิริยาคร่ำครวญ โศกเศร้า เสียใจของพระนางมัทรี ตัวเอกของกัณฑ์นี้ เมื่อทราบว่าพระเวสสันดรได้บริจาค 2 กุมาร กัณหาและชาลีให้แก่พราหมณ์ชูชกไป  พระได้เทศน์เรื่องนี้จนจบลงแล้ว แต่ปี่พาทย์เพิ่งจะบรรเลงเพลงประกอบเรื่อง อย่างนี้ถือว่าเป็นการบรรเลงประกอบกิริยาสมมุติที่เป็นอดีต เป็นต้น
เพลงหน้าพาทย์นิยมบรรเลงดนตรีเพียงอย่างเดียว ไม่มีร้องเพลงหน้าพาทย์แบ่งตามฐานันดร  แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ
      ๑. หน้าพาทย์ธรรมดา ใช้บรรเลงประกอบกิริยาอารมณ์ของตัวละครที่เป็นสามัญชน เป็นเพลงหน้าพาทย์ไม่บังคับความยาว การจะหยุด ลงจบ หรือเปลี่ยนเพลง ผู้บรรเลงจะต้องดูท่ารำของตัวละครเป็นหลัก เพลงหน้าพาทย์ชนิดนี้โดยมากใช้กับการแสดงลิเกหรือละคร เช่น เพลงเสมอ เพลงเชิด เพลงรัว เพลงโอด
    ๒. หน้าพาทย์ชั้นสูง   ใช้บรรเลงประกอบกิริยา อารมณ์ของตัวละครผู้สูงศักดิ์หรือเทพเจ้าต่างๆ เป็นเพลงหน้าพาทย์ประเภทบังคับความยาว ผู้รำจะต้องยืดทำนองและจังหวะของเพลงเป็นหลักสำคัญ จะตัดให้สั้นหรือเติมให้ยาวตามใจชอบไม่ได้ โดยมากใช้กับการแสดงโขน ละคร และใช้ในพิธีไหว้ครู ครอบครูดนตรีปละนาฎศิลป์ เช่น เพลงตระนอน  เพลงกระบองกัน  เพลงตระบรรทมสินธุ์  เพลงบาทสกุณี  เพลงองค์พระพิราพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงอนงค์พระพิราพ ถือกันว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงสุดในบรรดาเพลงหน้าพาทย์ทั้งหลาย เพลงหน้าพาทย์แบ่งตามหน้าที่การนำไปใช้ประกอบการแสดงของตัวละคร  แบ่งได้ ๗ ลักษณะ คือ



๑. เพลงหน้าพาทย์ประกอบกิริยาไปมา ได้แก่
        เพลงเสมอ       ใช้ประกอบกิริยาการเดินทางระยะใกล้ ไปช้าๆ ไม่รีบร้อน
        เพลงเชิด        ใช้ประกอบกิริยาการเดินทางระยะไกลไปมาอย่างรีบร้อน
        เพลงโคมเวียน  ใช้ประกอบกิริยาการเดินทางในอากาศของเทวดาและนางฟ้า
        เพลงแผละ      ใช้ประกอบกิริยาการไปมาของสัตว์มีปีก เช่น นก ครุฑ
        เพลงชุบ         ใช้ประกอบกิริยาไปมาของตัวละครศักดิ์ต่ำ เช่น นางกำนัล
๒. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการยกทัพ  ได้แก่
        เพลงกราวนอก  สำหรับการยกทัพของมนุษย์ ลิง
        เพลงกราวใน    สำหรับการยกทัพของยักษ์
๓. เพลงหน้าพาทย์ประกอบความสนุกสนานร่าเริง  ได้แก่
        เพลงกราวรำ    สำหรับกิริยาเยาะเย้ย
        เพลงสีนวล  เพลงช้า  เพลงเร็ว  สำหรับแสดงความรื่นเริง
        เพลงฉุยฉาย แม่ศรี สำหรับแสดงความภูมิใจในความงาม
๔. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ได้แก่
        เพลงตระนิมิตร  สำหรับการแปลงกาย ชุบคนตายให้ฟื้น
        เพลงคุกพาทย์   สำหรับการแสดงอิทธิฤทธิ์ หรือเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว
        เพลงรัว          ใช้ทั่วไปในการสำแดงเดช หรือแสดงปรากฎการณ์โดยฉับพลัน



๕. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการต่อสู้และและติดตาม ได้แก่
        เพลงเชิดนอก    สำหรับการต่อสู้หรือการไล่ติดตามของตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น หนุมานไล่จับนางสุพรรณมัจฉา  หนุมานไล่จับนางเบญกาย
        เพลงเชิดฉาน   สำหรับตัวละครที่เป็นมนุษย์ไล่ตามสัตว์ เช่น พระรามตามกวาง
        เพลงเชิดกลอง   สำหรับการต่อสู้  การรุกไล่ฆ่าฟันกันโดยทั่วไป
        เพลงเชิดฉิ่ง     ใช้ประกอบการรำก่อนที่จะใช้อาวุธสำคัญหรือก่อนกระทำกิจสำคัญ
๖. เพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงอารมณ์ทั่วไป ได้แก่
        เพลงกล่อม      สำหรับการขับกล่อมเพื่อการนอนหลับ
        เพลงโลม        สำหรับการเข้าพระเข้านาง  การเล้าโลมด้วยความรัก
        เพลงโอด        สำหรับการร้องไห้
        เพลงทยอย      สำหรับอารมณ์เสียใจ เศร้าใจขณะที่เคลื่อนที่ไปด้วย เช่น เดินพลางร้องไห้พลาง
๗. เพลงหน้าพาทย์เบ็ดเตล็ด ได้แก่
        เพลงตระนอน   แสดงการนอน
        เพลงลงสรง      สำหรับการอาบน้ำ
        เพลงเซ่นเหล้า   สำหรับการกิน การดื่มสุรา
        เพลงหน้าพาทย์ทั้ง ๗ ลักษณะ ล้วนเป็นเพลงหน้าพาทย์ที่นำมาใช้ในการแสดงต่างๆ เช่น ลิเก ละครและโขนอยู่บ่อยๆ





๑๓.เพลงหางเครื่อง
         เพลงหางเครื่อง คือ เพลงเล็กๆ สั้นๆ แปลกๆ ที่บรรเลงต่อจากเพลงแม่บท (เพลงเถาหรือเพลงสามชั้น) โดยทันทีทันใดหลังจากที่บรรเลงเพลงนั้นจบลงแล้ว บางครั้งเรียกว่า เพลงลูกบท เพราะใช้บรรเลงเพลงต่อจากเพลงแม่บท  เพลงหางเครื่องเป็นเพลงในอัตราจังหวะสองชั้นหรือชั้นเดียว ที่มีท่วงทำนองค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉงให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน ละเป็นเพลงที่มีเสียงและสำเนียงเดียวกันกับแม่บทที่บรรเลงนำมาก่อน เช่น บรรเลงเพลงแขกมอญบางขุนพรหม (เถา) จบแล้ว บรรเลง ต่อท้ายด้วยเพลงมอญมอบเรืออัตราจังหวะสองชั้น เพลงมอญมอบเรือ (สองชั้น) ก็เรียกว่าเพลงหางเครื่อง หรือบรรเลงเพลงเขมรไทรโยค (สามชั้น) จบแล้ว บรรเลงต่อท้ายด้วย
๑๔.เพลงมยุราภิรมย์ หรือระบำลพบุรี
         การบรรเลงเพลงหางเครื่องจะจบด้วยการออกลูกหมดเสมอ และนิยมบรรเลงเฉพาะดนตรีอย่างเดียว ไม่มีร้องเพลงไทย ที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในปัจจุบันนี้ มีทั้งเพลงเก่าสมัยโบราณ เพลงที่ดัดแปลงจากของเก่า และเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ แยกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะและวิธีใช้ได้หลายประเภท ได้แก่
๑๕.เพลงตับ
         เพลงตับหมายถึง เพลงที่บรรเลงเป็นเรื่อง มีแขนงย่อยแบ่งออกเป็น ตับเรื่องและตับเพลง
๑. ตับเรื่อง  หมายถึง เพลงที่นำมารวมร้องและบรรเลงติดต่อกัน มีบทร้องที่เป็นเรื่อง เดียวกันและดำเนินไปโดยลำดับ ฟังแล้วรู้เรื่องโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ  ส่วนทำนองเพลงจะเป็นคนละอัตรา คนละประเภท หรือหมายถึง เพลงที่ร้องและบรรเลงประกอบการแสดงโขนและละครที่เป็นเรื่อง เป็นชุด หรือเป็นตอน ตัวอย่างของเพลงตับเรื่อง เช่น ตับนางลอย  ตับพระลอ(ตับเจริญศรี)และตับนางซินเดอริลลาตับนางลอย ได้แก่เพลง ยานี  เชิดฉิ่ง  แขกต่อยหม้อ  โล้  ช้าปี่  หรุ่ม  ร่าย  เต่าเห่  ตะลุ่มโปง  พ้อ  ขวัญอ่อน  กล่อมพญา พราหมณ์เก็บหัวแหวน  แขกบรเทศ  เชิดนอก ตับพระลอ(ตับเจริญศรี) ได้แก่เพลง เกริ่น  ลาวเล็กตัดสร้อย  ลาวเล่นน้ำ  สาวกระตุกกี่  กระแตเล็ก  ดอกไม้เหนือ  ลาวเฉียง ลาวครวญ  ลาวกระแชตับนางซินเดอริลลา  ได้แก่เพลงวิลันดาโอด  ฝรั่งจรกา  ครอบจักรวาล  ฝรั่งรำเท้า เวสสุกรรม  หงส์ทอง



๒. ตับเพลง  หมายถึง เพลงที่นำมารวมร้องและบรรเลง จะต้องมีสำนวนทำนองสอดคล้องต้องกัน คือ มีเสียงขึ้นต้นเพลงคล้ายๆ กัน คือ สำเนียงคล้ายๆ กัน เป็นเพลงในอัตราจังหวะเดียวกัน เช่น เป็นสองชั้นเหมือนกัน หรือสามชั้นเหมือนกัน  ส่วนบทร้องจะมีเนื้อเรื่อง อย่างไร เรื่องเดียวกันหรือไม่ ไม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ  ตัวอย่างตับเพลง เช่น ตับลมพัดชายเขา (สามชั้น)  ตับต้นเพลงฉิ่ง (สามชั้น)  และตับต้นเพลงฉิ่ง (สองชั้น)ตับลมพัดชายเขา (สามชั้น)  ได้แก่เพลง ลมพัดชายเขา  แขกมอญบางช้าง  ลมหวน เหราเล่นน้ำ ตับต้นเพลงฉิ่ง (สามชั้น)  ได้แก่เพลง ต้นเพลงฉิ่ง  จระเข้หางยาว  ตวงพระธาตุ  นกขมิ้น ตับต้นเพลงฉิ่ง (สองชั้น)  ได้แก่เพลง ต้นเพลงฉิ่ง  สามเส้า  ตวงพระธาตุ  นกขมิ้น ธรณีร้องไห้
๑๖.เพลงภาษาและการออกภาษา
         เพลงภาษา หมายถึง เพลงไทยที่มีชื่อขึ้นต้นเป็นชื่อของชาติอื่น ภาษาอื่น เช่น เพลงจีนขิมเล็ก เพลงเขมรพายเรือ เพลงมอญรำดาบ เพลงมอญรำดาบ เพลงพม่ารำขวาน เพลงแขกยิงนก เพลงฝั่งรำเท้า เป็นต้น   เพลงภาษาเป็นเพลงที่นักดนตรีไทยได้แต่งขึ้นเอง โดยเลียนสำเนียงภาษาต่างๆ เหล่านั้น เป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้นคล้ายๆ กับเพลงหางเครื่อง ต่างกันที่ว่าเพลงหางเครื่องนิยมบรรเลงต่อท้าย เพลงแม่บทที่บรรเลงนำมาก่อนเพียง ๑ เพลงหรือ ๒ เพลงเท่านั้น และต้องเป็นเพลงที่มีเสียงหรือสำเนียง เดียวกันกับเพลงแม่บท ส่วนเพลงภาษาบางทีบรรเลงติดต่อกัน ไปหลายๆ ภาษา หรือที่เรียกว่า "ออกภาษา" หรือ "ออกสิบสองภาษา"  วิธีออกภาษาตามระเบียบแบบแผนวิธีการบรรเลงเพลงภาษา ที่นิยมใช้ บรรเลงกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีหลักอยู่ว่า ต้องออก ๔ ภาษาแรก คือ จีน เขมร ตะลุง พม่า แล้วจึงออกภาษาอื่นๆ ต่อไป ซึ่งสมัยก่อนคงจะมีถึง ๑๒ ภาษา จึงมักนิยมเรียกกันติดปากว่า "ออกสิบสองภาษา"
      การบรรเลงเพลงภาษาและออกภาษานี้ เป็นที่นิยมกันมาก บางทีบรรเลงเพลง
สามชั้นสำเนียงแขก ก็ออกภาษาแขกต่อท้าย บางทีก็นำเพลงภาษามาบรรเลง ๒-๓ เพลง ติดต่อกัน บางทีก็นำเพลงภาษาไปใช้ ในละครพันทาง บางครั้งก็ใช้สำหรับวงปี่พาทย์
์นางหงส์ ที่บรรเลงในงานศพเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเศร้าโศก
         เพลงออกภาษาที่ใช้บรรเลงกันมาแต่เดิม ใช้บรรเลงเฉพาะดนตรีล้วนๆ ไม่มีร้อง ในปัจจุบัน บางครั้ง ได้มีการนำเอาเนื้อร้องเข้าประกอบเพลงภาษาด้วย เพื่อเป็นการสร้างความสนุกสนาน เพลิดเพลินแก่ผู้ชม และผู้ฟังได้อีกแบบหนึ่ง

๑๗.เพลงลูกหมด
          เพลงลูกหมด เป็นเพลงเล็กๆ สั้นๆ มีจังหวะเร็ว เทียบเท่าเพลงชั้นเดียว  สำหรับบรรเลงต่อท้ายเพลงต่างๆ เพื่อแสดงว่าจบเพลงหรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า"ออกลูกหมด"การบรรเลงเพลงลูกหมดหรือการออกลูกหมดนนี้  นอกจากจะมีความหมายว่า
เพลงได้จบลงแล้ว ยังเป็นการให้เสียงกับคนร้อง ช่วยให้คนร้อง ร้องได้ตรงกับระดับเสียงของวงดนตรีที่บรรเลง คนร้องที่มีความสามารถ เมื่อดนตรีบรรเลงเพลงลูกหมดจบลงแล้ว ก็ร้องเพลงได้ทันทีโดยไม่ต้องรอนักดนตรีให้เสียง  เพลงลูกหมดมักจะใช้บรรเลงต่อจากเพลงสามชั้น เพลงเถา และเพลงหางเครื่อง แล้วแต่กรณีและไม่มีร้อง
๑๘.เพลงเดี่ยว
         เพลงเดี่ยว   เป็นการบรรเลงโดยเครื่องดนตรีสร้างทำนองเพียงเครื่องเดียว โดยมีเครื่องเคาะจังหวะบรรเลงประกอบด้วย   ปกติเพลงที่ใช้บรรเลงเดี่ยวจะเป็นเพลงขับร้อง และบรรเลงหมู่ทั่วไป แต่จะมีลูกเล่นกลเม็ดในการบรรเลงแพรวพราวมากยิ่งขึ้น
ไปกว่าตอนบรรเลงหมู่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความสามารถทั้งการแปรทำนองที่วิจิตร พิสดารของผู้แปร, ความแม่นยำในการจดจำลูกเล่น และความช่ำชองในการใช้เครื่องดนตรีของผู้เล่น มักจะเลือกเอาเพลงที่มีเสียงครบ ๗ เสียง เพราะเพลงไทยบางเพลงมีเพียง ๕ เสียง จึงไม่เหมาะกับการบรรเลงเดี่ยว  เพลงเดี่ยวหรือการเดี่ยว
ด้วยเครื่องดนตรีมีหลายแบบ คือ
         การเดี่ยวด้วยเครื่องดนตรีชิ้นเดียวตลอดเพลง  เช่น ซออู้ ใช้เพลงแขกมอญ หรือเพลงกราวใน เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มเสียงใหญ่  ซอด้วง ใช้เพลงเชิดนอก เพลงพญาโศกฯ เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เสียงแหลมเล็ก  นอกจากนั้น เพลงเดี่ยวที่
นิยมกันทั่วไปได้แก่ แขกมอญ  สารถี  พญาโศก  ลาวแพน  นกขมิ้น  เชิดนอก  กราวใน ทยอย  อาหนู  อาเฮีย  แป๊ะ  การะเวก  ม้าย่อง  นารายณ์แปลงรูป  ดอกไม้ไทร  ต่อยรูป
         การเดี่ยวด้วยเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในวงดนตรี  มักจะเป็นวงปี่พาทย์ และเริ่มด้วยปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดทุ้ม ตามลำดับ  ส่วนจะบรรเลงเพลงใดก่อน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของนักดนตรีที่ร่วมวงกันอยู่ รวมทั้งสถานการณ์ในขณะนั้น
เป็นส่วนประกอบด้วย เครื่องดนตรีอื่นๆ ที่บรรเลงร่วมกับการเดี่ยว ได้แก่ กลองสองหน้าและฉิ่ง
          นอกจากนี้ ประเภทของเพลง   หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า "ทางเพลง" สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
          เพลงทางพื้น คือเพลงที่มีทำนองเต็ม มักเป็นเพลงที่มีการบรรเลงแบบเก็บ (เสียงโน้ตสั้นเป็นตัวๆ ไม่ลากยาว) เป็นหลัก                                                      
         เพลงทางกรอคือเพลงที่ดำเนินทำนองช้าๆ ห่างๆ เสียงดนตรีจะมีความต่อเนื่องยาวๆ    หากเป็นระนาด หรือฆ้อง ก็จะเล่นแบบกรอ หรือตีรัวถี่ๆ ยืดเสียงตัวโน้ตให้ยาวออกไป เพลงประเภทนี้ ได้แก่เพลงเขมรไทรโยค เพลงแสนคำนึง เป็นต้น
       เพลงลูกล้อ-ลูกขัด    คล้ายการหยอกล้อกันของเครื่องดนตรี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มนำ-ได้แก่เครื่องดนตรีที่มีเสียงสูง เช่น ซอด้วง ระนาดเอก และกลุ่มตาม- ได้แก่เครื่องดนตรีเสียงต่ำ เช่น ซออู้ ่ระนาดทุ้ม โดย บรรเลงในลีลาต่างๆ ดังนี้
      ลูกล้อ - กลุ่มนำจะบรรเลงไปก่อน เมื่อจบห้องแล้วกลุ่มตามก็จะบรรเลงล้อเลียนในทำนองเช่นเดิม
      ลูกต่อ - กลุ่มนำจะบรรเลงเพลงประโยคแรกก่อน จากนั้นกลุ่มตามก็จะบรรเลงประโยคที่เหลือต่อซึ่งไม่เหมือนกัน
     ลูกเหลื่อม (ล้วง) – ขณะที่กลุ่มนำบรรเลงไปได้เพียงส่วนหนึ่งของท่อน เพลง กลุ่มตามก็จะเริ่มบรรเลงท่อนเดียวกันนี้ตามมา จึงทำให้ประโยค เพลงท่อนดังกล่าวมีความเหลื่อมๆ กัน





ทักษะการหยุดลูกฟุตบอล

ทักษะการหยุดลูกฟุตบอล
สาระสำคัญ
            การหยุดลูกบอล คือ การทำให้ลูกบอลที่เคลื่อนที่มาหยุดนิ่ง โดยการใช้ฝ่าเท้าและส่วนต่างๆในร่างกายหยุดลูกบอล ได้แก่ ฝ่าเท้า ข้างเท้าด้านใน ข้างเท้าด้านนอก อกเข่า หน้าแข้ง หน้าท้อง ศีรษะ
ในการหยุดลูกบอลจึงเป็นทักษะสำคัญในการเล่นฟุตบอลอีกทักษะหนึ่ง ในการเล่นฟุตบอลที่ดี

ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. ความรู้มีความเข้าใจวิธีการหยุดลูกบอลและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้
2. การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน
3. การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก
4. การหยุดลูกบอลด้วยฝ่าเท้า


การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน
1. เมื่อลูกบอลกลิ้งมากับพื้นให้หันหน้าเข้าหาลูกบอลหรือวิ่งเข้าหา ลูกบอล
2. สายตามองดูลูกจรดเท้าข้างไม่ใช่หยุดลงบนพื้นให้ปลายเท้าตรงไปข้างหน้ายกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นจากพื้นเล็กน้อย  หันปลายเท้าออกข้างนอก
3. ขณะที่ลูกบอลเคลื่อนใกล้เข้ามาในระยะที่พอจะหยุดได้แล้ว ให้เหยียดเท้าข้างที่จะใช้หยุดรับออกไปรับลูกบอลกระทบข้าง ด้านใน
4. ขณะที่ลูกบอลกระทบเท้าให้ดึงเท้ากลับมาข้างหลัง  เพื่อผ่อนตามแรงของลูกโดยเร็ว  การปฏิบัติดังกล่าวจะทำให้ลูกบอลอยู่ในครอบครองของเท้าและไม่กระดอนออกไปห่างจากตัว



การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก
       การหยุดบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก  คือ  การหยุดลูกโดยใช้หลังเท้าข้างนอกตรงด้านนิ้วก้อยหรือรับลูกที่มาทางด้านข้าง  เช่นทางขวาและจะเล่นต่อไปทางขวา  โดยไม่ต้องเสียเวลาหมุนตัวหาทิศทาง
แต่โอกาสที่เล่นพลาดมีได้ง่าย  ควบคุมลูกไว้ยากเพราะลูกมักจะกระดอนไปไกล
วิธีการหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก  มีดังนี้
1. หันหน้าเข้าหาลูกบอล สายตามองดูลูกบอลตลอดเวลา  ต้องทรงตัวให้ดีโดยการกางแขนออก ย่อตัวลงเล็กน้อย
2. ใช้ข้างเท้าที่ไม่ใช้หยุดลูกบอลเป็นเท้าหลักและรับน้ำหนักแล้ว  ให้  ลูกบอลตกทางด้านตรงข้างกับเท้าที่จะใช้หยุด
3. ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดไปรับลูกที่กลิ้งมากับพื้นหรือกระดอนขึ้นจากพื้น  โดยใช้ข้างเท้าด้านนอกประคองลูกลงสู่พื้นเบา ๆ เมื่อ   ลูกบอลกระทบเท้าให้ผ่อนความแรงเล็กน้อย



การหยุดลูกบอลด้วยฝ่าเท้า
1. เมื่อลูกบอลกลิ้งมากับพื้นให้หันหน้าเข้าหาลูกบอลพร้อมกับยกเท้าข้างที่จะหยุดขึ้นยกปลายเท้าให้เงยขึ้น  สันเท้าห่างขึ้นประมาณ 3 นิ้ว
2. ย่อตัวลงกางและแขนออก  โน้มตัวไปข้างหน้า เข่าของเท้าจะหยุดงอเล็กน้อย  เมื่อลูกบอลกลิ้งผ่านมาจนอยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ใช้ฝ่าเท้าประกบลูกบอลที่กลิ้งมากับพื้น  โดยกดปลายเท้าลงเบา ๆ พร้อมกับเหยียดขาลงเล็กน้อย
3. ถ้าลูกบอลกลิ้งมาแรงให้ผ่อนแรงเท้าตามความแรงของลูก  เพื่อไม่ให้ลูกกระดอนไปจากเท้าอย่าใช้วิธีกระทืบลูกบอล


วิชาการ



ให้นักเรียนโรงเรียนตราดเสริญวิทยาคมได้จัดกิจกรรมให้แต่ละห้องคิดโครงงานขึ้นมาในระดับมอต้น และมอปลายให้จัดตามกลุ่มสาระวิชาต่างๆๆ วันได้รับความรู้มากมายอยากให้จัดกิจกรรมแบบนี้ไปเลยๆๆค่ะขอบคุณค่ะ

เกาะช้าง

    เกาะช้าง

ประวัติ เกาะช้าง
สำหรับ อุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง หรือที่นิยมเรียกกันจนติดปากว่า เกาะช้าง นั้นตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จังหวัดตราด และเป็นจังหวัดชายแดนภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเกาะช้างนับว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทะเลอ่าวไทย และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศรองลงมาจากเกาะภูเก็ต มีพื้นที่รวม 268,125 ไร่ จากลักษณะการเรียงตัวกันของบรรดาหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกว่า 52 เกาะ มีลักษณะคล้ายกับรูปโขลงช้างเดินเรียงตัวกัน จึงเป็นสาเหตุให้เรียกหมู่เกาะแห่งนี้ว่า เกาะช้าง โดยลักษณะส่วนใหญ่ของเกาะช้างมีภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง มีผาหินสลับซับซ้อน มียอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาสลักเพชร อีกทั้ง เกาะช้าง ยังมีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ และเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเป็นป่าดิบเขาทำให้เกิดเป็นน้ำตกหลายสาย
โดยในช่วงฤดูที่เป็นต้นฝนปลายร้อนแบบนี้ อากาศก็เหมาะเป็นอย่างมากในการเดินทางไปตากลมชมวิวไกลสุดลูกหูลูกตาที่ทะเล ซึมซับบรรยากาศดีๆ ผ่อนคลายสมองด้วยการมองดูน้ำทะเลใสๆ รับลมทะเลกันสักหน่อยก็น่าจะฟินไม่น้อยอยู่เหมือนกัน สนุก! ท่องเที่ยว เลยขอแนะนำ “ เกาะช้าง ” สถานที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขที่จะทำให้คุณสุขใจสุดๆ ที่ได้มา
ชายหาด
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายัง เกาะช้าง ได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่ถือว่าเป็นฤดูการท่องเที่ยวของที่นี่คงหนีไม่พ้นช่วงหน้าร้อน โดยสำหรับที่นี่แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศบนเกาะจะไม่ร้อนมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบชื้น มีภูเขาสูง เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย รวมถึงน้ำตกต่างๆ ที่อยู่บนเกาะ ส่วนพื้นที่ราบบริเวณเชิงเขาจะเป็นพื้นที่สำหรับการปลูกยางพาราและผลไม้ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะ อาทิ สับปะรด แตงโม ทุเรียน เป็นต้น อีกทั้งยังมี 8 หมู่บ้าน ได้แแก่ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่ เกาะช้าง พื้นที่บางส่วนก็ยังเป็นสถานที่พักแรม ร้านอาหาร ตลอดจนสถานบันเทิงต่างๆ ไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอีกด้วย

อุทยานแห่งชาติเกาะช้าง
การมาเที่ยวที่ เกาะช้าง มีกิจกรรมให้เลือกหลากหลายแล้วแต่ความชอบจะเป็นว่ายน้ำเล่นที่ชายหาด เที่ยวน้ำตก ปีนเขา เดินป่า ขี่ช้าง ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือจะไปดำน้ำดูปะการังท่ามกลางฝูงปลาน้อยใหญ่สีสันสวยงามแปลกตาตามหมู่เกาะรังหรือเกาะหวาย ที่นี่น้ำทะเลสวยใสมากทำให้เห็นปลาและปะการังได้อย่างชัดเจน เพียงแค่นำเรือมาจอดตรงจุดดำน้ำเหล่าปลาสลิดหินลายก็ออกมาต้อนรับกันอย่างคับคั่งสามารถมองเห็นได้แม้อยู่บนเรือเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้สำหรับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก และเมื่อได้ดำน้ำลงไปก็สามารถเห็นปลาอีกหลากหลายชนิด เช่น ปลานกแก้ว ปลาปักเป้าลูกไก่ ปลาการ์ตูนอินเดียแดง ดอกไม้ทะเล หอยเม่น ปลิงทะเล ฯลฯ ดูเหมือนว่าเรากำลังว่ายน้ำอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่

ชายหาดเกาะช้าง
การเดินทางไปเกาะช้าง
มาที่จังหวัดตราดนั้นประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร ระหว่างทางนักท่องเที่ยวสามารถแวะพักดื่มกาแฟที่ร้านหลวงปู่กาแฟสด L.P Coffee ร้านสวยบรรยากาศดี มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายเมนู อยู่ระหว่างทางจากระยองมุ่งสู่จังหวัดจันทบุรี ร้านอยู่ติดทางหลวงหมายเลข 3 ฝั่งตรงข้ามทางแยกเข้าร้านตำนานป่า มีป้ายบอกชื่อร้านอย่างเด่นชัด เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็ขับรถมุ่งตรงมายังจังหวัดตราด มาที่แหลมงอบ ที่นี่มีท่าเรือเฟอร์รี่ให้ลงได้ 2 จุด คือ ท่าเรือ เกาะช้าง เฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติและท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์เฟอร์รี่ สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลข้ามไปได้ ถนนบนเกาะลาดยางสะดวกสบาย แต่มีเพียงบางช่วงที่ทางค่อนข้างลาดชันจึงควรขับรถด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญบนเกาะนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
สถานที่เที่ยวใน เกาะช้าง
แต่สำหรับใครที่เดินทางมาถึง เกาะช้าง แล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนบนเกาะดี เราก็ได้นำเอาสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ชิคๆ มาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้เดินทางไปเยือนกัน
1. หาดคลองพร้าว
หาดคลองพร้าวตั้งอยู่ทางด้านตะวันของ เกาะช้าง อยู่ถัดมาจากหาดทรายขาวประมาณ 4 กิโลเมตร ลักษณะของหาดคลองพร้าวเริ่มต้นจากแหลมไชยเชษฐ์ยาวไปจนถึงหาดไก่แบ้ ชายหาดมีบรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยทิวมะพร้าว บริเวณริมหาดเรียงรายไปด้วยรีสอร์ทและร้านอาหารที่เปิดให้บริการ แต่ไม่อดอัดมา นับว่ายังคงรักษาความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวเอาไว้ดีพอสมควร เหมาะมากที่จะเดินทางมาพักผ่อน ลุยทราย เล่นน้ำทะเลใส หรืออาจจะชวนเพื่อนๆ มาเล่นกีฬาริมหาดก็เก๋ไม่เบาอยู่เหมือนกันนะ
2. หาดไก่แบ้
หาดไก่แบ้ตั้งอยู่ถัดห่างจากท่าเรืออ่าวสับปะรดประมาณ 15 กิโลเมตร มีขนาดเล็กกว่าและอยู่ถัดไปจากหาดคลองพร้าว เป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำ ซึ่งจุดชมวิวจะอยู่ทางทิศตะวันตก สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกสีสันสวยงามได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นความสวยงามของเกาะมันใน เกาะมันนอก เกาะปลี และเกาะหยวกได้อีกด้วย ดังนั้นหากใครที่ต้องการเวลาพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ มีชายหาดที่สามารถลงเล่นน้ำได้ หรืออยากจะนอนอาบแดดสบายๆ หาดไก่แบ้ก็ถือว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งหมดได้อย่างลงตัว
3. หาดท่าน้ำ
หาดท่าน้ำ หรือ Lonely Beach มีลักษณะเป็นอ่าวขนาดใหญ่ มีหาดทรายยาวไปจนสุดแหลมท่าน้ำ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายทุกรูปแบบ มาอิงแอบนั่งฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง มองบรรยากาศชายทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา หรือจะลงเล่นน้ำทะเลสีฟ้าใสให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำก็ดูจะเข้าที ที่นี่ ให้บรรยากาศความเป็นส่วนตัวในแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ อีกทั้งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำกันได้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เรียกได้ว่าเหมาะเป็นอยากมากหากใครจะมาพักผ่อนในวันหยุดยาว และใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนเดินทางกันที่หาดท่าน้ำ 
4. อนุสรณ์ยุทธนาวี
อนุสรณ์สถานยุทธนาวีเป็นสถานที่เที่ยวชมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เกาะช้าง ใกล้อ่าวสลักเพชร ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการสู้รบระหว่างไทยกับฝรั่งเศสกรณีพิพาททางเขตแดนด้านตะวันออก โดยในอดีตฝ่ายไทยนั้นสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถอยไปได้ แต่ต้องสูญเสียเรือรบหลวง 3 ลำ คือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี อีกทั้งยังได้สูญเสียทหารพลประจำเรือถึง 36 นาย บริเวณภายในเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หันพระพักตร์ไปยังบริเวณยุทธนาวี เกาะช้าง ด้านล่างของอนุสาวรีย์ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับเรือรบจำลอง เพื่อระลึกถึงเรื่องราวการสู้รบระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือฝรั่งเศส อีกทั้งในวันที่ 17 มกราคมของทุกปี กองทัพเรือยังถือเป็นวันทำบุญประจำปีเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารเรือไทยที่ได้สละชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ปกปองแผ่นดินไทย สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และเป็นที่เคารพสักการะของคนในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยว
5. น้ำตกธารมะยม
น้ำตกธารมะยมตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง มีเส้นทางเดินเข้าไปยังน้ำตกไม่ลำบากมากนัก ซึ่งนับว่าเป็นความพิเศษของที่นี่ น้ำตกธารมะยม เป็นน้ำตกขนาดกลาง 4 ชั้น มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลผ่านลงมาเป็นชั้นๆ ตามร่องหินแกรนิตสีดำ บริเวณโดยรอบเป็นป่าดงดิบ อีกทั้งมีหน้าผาสูงชันจนเกือบตั้งฉาก อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การมาตั้งแคมป์ เล่นน้ำตก และเดินป่าเป็นอย่างยิ่ง บริเวณชั้นที่ 1 ของน้ำตกจะมีแอ่งน้ำด้านหน้าที่ไม่สูงมากนัก น้ำตกชั้นที่ 2 จะอยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อย ส่วนชั้นที่ 3 และ 4 มีระยะทางค่อนข้างไกล เดินทางลำบาก ซึ่งทางอุทยานได้จัดทำเป็นเส้นทางเดินป่าระยะไกลสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะเดินป่า รวมถึงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเพื่อความปลอดภัย
6. บ้านช้างไทย
บ้านช้างไทยเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนรักช้างจะต้องชื่นชอบ อยากให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับการชมวิวบนหลังช้างที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งที่บ้านช้างยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เราได้ลองทำ อาทิ กิจกรรมขี่ช้างชมไพร หรือการอาบน้ำให้ช้าง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโชว์การแสดงความสามารถพิเศษของช้างน้อย อย่าง การระบายสี เต้นระบำ หรือการนวด รับรองได้ว่าใครที่ได้เดินทางมาที่นี่จะต้องได้ความประทับใจ พร้อมกับรูปถ่ายกลับไปเต็มกระเป๋าอย่างแน่นอน
แนะนำ ที่พักบน เกาะช้าง
ที่ เกาะช้าง ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวนั้น แต่ยังมีที่พักสุดเก๋ไก๋ บรรยากาศดีไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายัง เกาะช้าง บางแห่งอยู่ใกล้น้ำตก บางแห่งอยู่ใกล้ชายหาด ก็สามารถเลือกกันได้ว่าแต่ละคนมีความชอบแบบไหน แต่แน่นอนเมื่อพูดถึงแล้วต้องไม่ได้มามือเปล่า เราได้เสาะหาที่พักบน เกาะช้าง เล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันด้วย เอาไว้สำหรับเป็นตัวเลือกในการท่องเที่ยวครั้งต่อไป เผื่อว่าครั้งอยากจะค้างแรมบน เกาะช้าง

โรงแรมบ้านปู เกาะช้าง
(โรงแรมบ้านปู)
โรงแรมบ้านปู
เริ่มต้นกันด้วยที่พักบน เกาะช้าง สุดแสนเรียบง่าย แต่บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ กับ โรงแรมบ้านปู เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ อบอวนไปด้วยความเป็นส่วนตัว ผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติบนบริเวณพื้นที่หาดทรายขาวที่นับว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดจุดหนึ่งของ เกาะช้าง มีการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้พื้นเมืองของจังหวัดตราด ห้องพักทุกห้องมีลักษณะเป็นบ้าน ภายในตกแต่งด้วความเป็นพื้นเมือง ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ ที่ใครที่มีโอกาสเดินทางมาที่ เกาะช้าง ก็อย่าลืมลองแวะมาพักที่นี่กัน

รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา
(รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา)
รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา
มาต่อกันด้วยที่พักใจกลางธรรมชาติบน เกาะช้าง ซึ่งโอบล้อมไปด้วยทิวเขาและพันธุ์ไม้อันเขียวขจีบนหาดคลองพร้าว อย่าง รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา มีการออกแบบและตกแต่งบริเวณโดยรอบในสไตล์โอเร็ลตัลร่วมสมัยที่มีความหรูหรา กว้างขวาง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากมหากาพย์วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ บนพื้นที่ 17 ไร่ มีห้องพักไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวกว่า 65 ห้อง ซึ่งห้องพักแต่ละห้องได้มีการนำชื่อของตัวละคร รวมถึงสถานที่สำคัญๆ ในเรื่องมาเป็นชื่อประจำห้อง อีกทั้งยังมีสไตล์การตกแต่งที่เฉพาะตัวในแต่ละห้องอีกด้วย เรียกได้ว่าเมื่อนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ยังไงก็ไม่ผิดหวังแน่นอน

โคโคนัท บีช รีสอร์ท เกาะช้าง
(โคโคนัท บีช รีสอร์ท)
โคโคนัท บีช รีสอร์ท เกาะช้าง
มาต่อกันด้วยที่พักแห่งสุดท้ายที่เรานำมาฝาก เรียกได้ว่าแปลกแต่น่าไปหย่อนตัวลงบนเตียงสุดๆ กับ โคโคนัท บีช รีสอร์ท นับว่าเป็นสถานที่พักแห่งใหม่บน เกาะช้าง ตั้งอยู่หาดคลองพร้าว โดยเขากล่าวกันว่าเป็นที่พักที่รวมความแตกต่างของบังกะโลเอาไว้มากที่สุด ส่วนด้านหลังก็ได้มีการสร้างเป็น โรงแรมโคโคนัท บีช รีสอร์ท ซึ่งเปิดได้ไม่นาน มีการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้เมืองร้อนเอาไว้ในสวนดูร่มรื่น อีกทั้งยังมีมุมติดวิวทะเล ป่าฝนบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังดูสวยงาม บรรยากาศดีเอามากๆ ส่วนห้องพักก็มีความสวยงาม มีการตกแต่งในรูปแบบไทยแท้ พร้อมพรั่งไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้เดินทางมาพักต้องการ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่นักท่องเที่ยวคนไหนเมื่อเดินทางมายัง เกาะช้าง ต้องลองมาสัมผัสให้ได้สักครั้ง ไม่งั้นจะเสียใจนะ !
ขอบคุณรูปภาพที่พัก: www.agoda.com
-----
นี่ยังเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของสถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง หรือว่า เกาะช้าง ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังอยากจะมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติ ป่าสวย น้ำใส บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบเลย แล้วทำไมคนไทยถึงไม่เดินทางมาดูให้เห็นด้วยตาล่ะว่าความสวยงามอย่างที่คนอื่นว่านั้นเป็นอย่างไร แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าธรรมชาติเหล่านี้กว่าจะเติบโต เข้าที่เข้าทาง สวยงาม หาดูได้ยากอย่างทุกวันนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ร้อยกี่พันปีกว่าจะสำเร็จ เพราะฉะนั้นมาแล้วก็อย่าลืมช่วยกันรักษาธรรมชาติ อย่าเพิ่งทำลายความสวยงามจนไม่เหลือเก็บเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้ดู คราวนี้เราก็มีคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางมาที่ เกาะช้าง เผื่อว่าใครอยากมาแต่ไม่รู้ว่าจะเดินทางมาอย่างไรดี

การเดินทางไปเกาะช้าง
การเดินทางไป เกาะช้าง
โดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปสู่จังหวัดตราดสามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ
1.      ใช้เส้นทางสายบางนา - ตราด (ทางหลวงหมายเลข 3) ผ่าน ชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี ไปจนถึงจังหวัดตราด ระยะทางประมาณ 385 กม.
2.      ใช้เส้นทางหลวงมอเตอร์เวย์ สู่บ้านบึงแล้วใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 344 (บ้านบึง - แกลง) เมื่อถึงแกลงเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทาง หลวงหมายเลข 3 (ถ.สุขุมวิท) ผ่าน อ.ขลุง จ.จันทบุรี แล้วข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเวฬุ เข้าสู่เขต จ.ตราด ที่ ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง ระยะทางประมาณ 315 กม. ซึ่งเส้นทางนี้จะสะดวกและรวดเร็วกว่าเส้นทางแรก
*** หากไม่ต้องการเข้าสู่ตัวเมืองตราด ท่านสามารถที่จะเลี้ยวขวา บริเวณแยกเขาสมิง (แยกแสนตุ้ง) หลังจากข้ามสะพานเวฬุแล้ว เพื่อไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ได้เลย
รถโดยสารประจำทาง
มีบริการเดินรถทั้งที่สถานีหมอชิตและสถานีเอกมัย สอบถามตารางเดินรถได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส.
ท่าเรือข้ามไปยัง เกาะช้าง
1